วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

UNIT 12 : What They Said



Reported Speech

Direct Speech คือประโยคที่พูดออกมาจากปากของผู้พูดเองโดยตรง
Indirect speech คือประโยคที่นำคำพูดของคนอื่นมาเล่าหรือรายงานให้ฟัง
หลักเกณฑ์ในการเปลี่ยน
ประโยค Direct Speech & Indirect Speech
มี 4 ชนิด
1.ประโยคคำกล่าว ( Statements )
2.ประโยคคำสั่งและขอร้อง ( Orders and Requests )
3.ประโยคอุทาน ( Exclamations )
4.ประโยคคำถาม ( Questions )...(อ่านเพิ่มเติม)


UNIT 11 : If It Hadn't Happened

Should have + Past Participle

Should have + V3

ใช้สื่อถึงเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้น แต่จริงๆ แล้วควรจะเกิดขึ้น เช่น
I should have brought an umbrella with me. ฉันน่าจะเอาร่มติดตัวมาด้วย (แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เอามา และตอนนี้ฝนก็ตกหนัก)...(อ่านเพิ่มเติม)


UNIT 9 : Complaints, Complaints

Have/Get Something (Done)

        โครงสร้างแบบ have something done หรือ have something + v3

โครงสร้างแบบนี้ใช้เวลาที่เราต้องการบอกว่า ใครทำอะไรให้เรา โดยที่เรานั้นไม่ได้ทำด้วยตัวเอง เช่น ถ้าเราบอกว่า เราไปตัดผมมา โดยให้ช่างตัดให้ เราจะต้องพูดว่า...(อ่านเพิ่มเติม)

 

UNIT 8 : Wishful Thinking



If-Clause



        if-clauseคือ ประโยคเงื่อนไข ประกอบด้วยอนุประโยค (ประโยคย่อย) สองประโยค ประโยคหนึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า If กับอีกประโยคหนึ่งมีหน้าตาเหมือนประโยคสมบูรณ์ทั่วไป สังเกตว่า อนุประโยคสองประโยคนี้สลับที่กันได้ จะยกประโยคไหนขึ้นต้นก็ได้ แล้วแต่การเน้นและความหมาย...(อ่านเพิ่มเติม)

UNIT 7 : You've Got Mail!

Preposition+gerund


        Gerunds เป็นกริยารูปหนึ่งที่ลงท้ายด้วย ing และทำหน้าที่เป็น คำนาม (noun)ฉะนั้นตำแหน่งของคำกริยาประเภทนี้ในประโยคคือ ประธาน (subject) กรรมตรง (direct object) ประธานเสริม (subject complement) และกรรมของบุพบท (object of preposition)...(อ่านเพิ่มเติม)


UNIT 6 : Take My Advice

  modal auxiliaries

      modals หรือ modal auxiliaries คือกลมกริยาช่วยที่ใช้บอกกริยาแท้ของประโยค โดยที่กริยาแท้จะเป็นกริยาช่อง1
               รูปธรรมดา                รูปปฏิเสธ                            รูปย่อปฏิเสธ
                can                        cannot                                     can' t
                could                     could not                                cudn' t
                may                       may not                                   mayn' t...(อ่านเพิ่มเติม)

UNIT 5 : Did You Hurt Yourself ?



Reflexive  Pronouns


              Reflexive  Pronouns  เป็นสรรพนามที่สะท้อนกลับไปหาประธานของประโยค  เช่น  myself  =  ตนเอง,  himself  =  ตัวเขาเอง  เป็นต้น  เกิดขึ้นเนื่องจากการรวมกันระหว่าง  Possessive  Pronouns  และ  self / selves  มีดังนี้...(อ่านเพิ่มเติม)


UNIT 4 : The Art of Advertising

Passive Voice 
Passive Voice คือ รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้น โดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
              A mango is eaten by Mary.
             (มะม่วงถูกรับประธานโดยแมรี่)

จะเห็นได้ว่า ใจความประโยค Active Voice และ Passive Voice นั้นมีความหมายอย่างเดียวกัน ผิดกันก็ตรงที่ประโยค Active Voice นั้น ประธานเป็นผู้ทำกริยา ส่วน Passive Voice นั้นประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยา

UNIT 3 : What Will Be, Will Be

Future with Will or Be Going To

การใช้ will/ be going to
1. will และ be going to เป็นโครงสร้างที่ใช้แสดงอนาคตกาล
2. โครงสร้าง be going to ใช้ในความหมายของความตั้งใจจะกระทำจริงๆ ในอนาคตมากกว่าโครงสร้าง will

3. โครงสร้าง  will/ be going to ต้องตามด้วยกริยาแท้ที่ไม่กระจายเสมอ...(อ่านเพิ่มเติม)

UNIT 2 : Careers

Present Perfect Continuous Tense

หลักการใช้
ใช้เหมือนกับ present perfect tense  ข้อที่ 1 เท่านั้น  (เหตการณ์ที่เกิดในอดีต ดำเนินมาถึงปัจจุบัน และต่อเนื่องไปในอนาคต) ทุกประการ แต่เป็นการเน้นว่าทำต่อเนื่อง

กริยาที่นำมาเติม ing ให้อ้างอิง present continuous tense ทุกประการเหมือนกัน...(อ่านเพิ่มเติม)

Present perfect simple 


Tense นี้ใช้บรรยายเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เช่น

My family has lived in Bangkok since 1945.

(ครอบครัวฉันอยู่ในกรุงเทพฯ มาตั้งแต่ปี 1945) ..(อ่านเพิ่มเติม)

UNIT 1 : Big Changes

 Present Simple Tense
หลักการใช้ Present Simple Tense

1.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขณะที่พูดเช่น
        Ann watches television.
        Ron takes a bath in the bathroom.
2.      ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นจริงตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน
        หรืออนาคตเช่น
       Tiger is a dangerous animal.
       The earth moves around the sun.
3.    ใชักับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆซ้ำๆจนเป็นกิจวัตรประจำวันหรือประจำเดือน ...(อ่านเพิ่มเติม)

Present Progressive Tense

ประโยค Present Progressive Tense เชิงบอกเล่า

โครงสร้าง:      Subject + is, am, are + Verb 1 ing.
              (ประธาน + is, am, are + กริยาช่อง 1 เติม ing.)  ...(อ่านเพิ่มเติม)

Present Perfect Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินมาจนถึงขณะนี้ และจะต่อเนื่องไปในอนาคต และจะมีสองคำนี้ประกอบอยู่ด้วย คือ
for   ฟอ เป็นเวลา (กี่นาที กี่ชั่วโมง กี่วัน กีสัปดาห์ กี่ปี)
since ซินซ ตั้งแต่ (ตั้งแต่ชั่วโมงไหน วันไหน สัปดาห์ไหน เดือนไหน ปีไหน)...(อ่านเพิ่มเติม)


Phrasal Verbs


 คือ การใช้คำกริยาที่ปกติแล้วมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ส่วนประกอบ เมื่อ verb+ preposition or particle มารวมกันเป็น Phrasal verbs แล้ว อาจจะทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่มีเค้าความหมายของคำกริยาเดิมเลย นิยมใช้กันมากในภาษาอังกฤษ 

1.เมื่อไม่มี direct object ต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verb เช่น - please come in.

- Don't give up, whatever happens.

2. เมื่อมี object pronoun เช่น him, her, it, them, me, us, เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้า adverb เช่น

- I can't make it out. (right)

- I can't make out it.(wrong)

3. เมื่อมี noun เช่น book , pen , houses , etc.เป็น direct object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverb ก็ได้ (verb +adverb +noun) หรือ (verb +noun +adverb) เช่น

- Turn on the light. หรือ - Turn the light on.

4. ตามข้อ 3 ถ้า object เป็นคำยาว เช่นมี object clause ขยายต้องวาง object ไว้หลัง adverb เช่น

- He gave away every book that he possesed. (right)

- He gave every book that he possesed away. (wrong)


5. ในประโยคอุทาน (exclamatory Sentences)ให้วาง adverb ไว้หน้าประโยคยืดหลักดังนี้

5.1 ถ้าประธานเป็น noun เอากริยาตามมาได้เลย เช่น

-Off went john! = John went off.

5.2 ถ้าประธานเป็น pronoun ใหัใช้แต่ adverb ไม่ต้องใช้ verb เช่น

-Away they went ! = They went away.


ประเภทของ Phrasal verbs


1. Inseparable Verbs with no objects คือ phrasal verb ที่ต้องติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ ไม่ต้องมีกรรม เช่น
set off ออกเดินทาง Speed up เร่งความเร็ว
Wake up ตื่นนอน Stand up ยืนขึ้น
Come in เข้ามาถึง Get on ขึ้น (รถ) / เข้ากันได้
Carry on ทำต่อไป Find out เรียนรู้
Grow up เติบโต Turn up ปรากฏตัว



2. Inseparable Verbs with objects คือ phrasal verb ที่ต้องอยู่ติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่ต้องมีกรรม เช่น
Look after เลี้ยงดู Look into สอบถาม ตรวจสอบ
Run into ชน Come across พบโดยบังเอิญ
Take after เหมือนถอดแบบ Deal with ติดต่อ เกี่ยวข้อง
Go off ออกไป จากไป หยุดทำงาน Cope with จัดการ



3. Separable verbs คือ ที่แยกจากกันได้ มักจะต้องการกรรม
Turn on เปิด(ไฟ) Turn off ปิด (ไฟ)
Turn down หรี่ (เสียง) Swith off ปิด
Look up มองหา Take off ถอด ออกเดินทาง





4. Three-Word Phrasal Verbs คือ phrasal verb ที่ไม่มีกรรมและบางครั้งมีการใช้บุพบทมากกว่า 1 ตัว เช่น
Get on with ทำต่อไป ไม่หยุด Cut down on ลดปริมาณลง
Look out for เตรียมพร้อม Catch up with ตามทัน
Run out of หมด Get down to เอาจริงเอาจัง
Stand up for ปกป้อง เดือดร้อนแทน Look down to ดูถูก
Look up to ยอมรับนับถือ Put up with อดทน
Look out on มองออกไป